ฤาโลกได้เปลี่ยนไปแล้วตลอดกาล

หลังจากโดนโควิดเล่นงานมาตลอดสามปีเต็ม โลกของเราก็กำลังจะผ่านพ้นเคราะห์นี้ไปเสียที

บางคนคิดว่า ต่อจากนี้ไป โลกของเราก็จะค่อยๆ กลับสู่โลกแบบเดิมก่อนยุคโควิด แต่บางคนก็บอกว่า โลกของเราได้เปลี่ยนไปแล้วตลอดกาล มันจะไม่กลับไปเหมือนเดิมอีกต่อไป โควิดเป็นแค่ด่านแรก เรายังต้องเจออะไรอีกเยอะ

ไม่มีใครรู้อนาคตที่แน่นอน ไม่รู้ว่าความคิดแบบไหนกันแน่ที่ถูกต้อง เราอาจแค่ถูกหลอกด้วยเหตุการณ์ผิดปกติแค่เหตุการณ์เดียวในรอบหนึ่งร้อยปี แล้วพาลให้คิดไปว่าทุกอย่างจะแย่ลงตลอดไป หรือว่าจริงๆ แล้ว โควิดเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ไม่มีใครรู้ว่าจะพิสูจน์หรือหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ยังไง

ถ้าหากทุกอย่างค่อยๆ กลับสู่โลกแบบเดิมก็ดีไป แต่ถ้าสมมติว่า โลกของเราเปลี่ยนไปแล้วตลอดกาล อะไรจะเป็นสิ่งที่มาอธิบายความเปลี่ยนแปลงนี้ สิ่งเลวร้ายหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นโควิด ฝุ่น PM2.5 สงครามยูเครนรัสเซีย ภาวะเงินเฟ้อในรอบ 40 ปี คล้ายๆ กับว่า เราอาจแค่บังเอิญซวยมากๆ ที่เหตุการณ์เหล่านี้มาเกิดขึ้นพร้อมๆ กันพอดี กลายเป็น Perfect Storm?

ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าแบบไหนถูก แต่โดยส่วนตัว ถ้าให้คิดหาเหตุผลว่า โลกเราได้เปลี่ยนไปแล้วตลอดกาลเพราะอะไรได้บ้าง แบบหนึ่งที่คิดออกคือ ที่ผ่านมา เราได้ exploit โลกใบนี้มากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการผลาญทรัพยากร การทำลายสิ่งแวดล้อม ระบอบทุนนิยมที่ต้องเติบโตต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด ความเหลื่อมล้ำทั้งหลายที่ถูกสร้างขึ้นมา ฯลฯ และตอนนี้มันก็ได้มาถึงขีดจำกัดที่โลกจะรับไหวแล้ว โลกของเราก็เลยฟ้องออกมาด้วย สภาพภูมิอากาศที่ผิดเพี้ยน โรคระบาด สงคราม

ซึ่งถ้าหากแนวคิดนี้เป็นจริง ต่อให้โควิดจบ แล้วเรากลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมกันใหม่ บริโภคกันแบบเดิม เร่งโตกันแบบเดิม ทุกคนอยากรวยกันแบบเดิม ผมเชื่อว่า สักพักหนึ่ง โลกของเราก็จะพังใหม่อีก เหมือนการเดินเครื่องยนต์ที่เกินกำลังของมัน ถ้าไม่เกิดโรคระบาดตัวใหม่อีกก็อาจเกิดเหตุการณ์ประหลาดๆ อะไรสักอย่างที่รุนแรงไม่แพ้กัน ซึ่งเดาได้เลยว่า เมื่อภัยพิบัตินั้นผ่านไป โลกของเราก็จะพยายามกลับไปเป็นอย่างเดิมอีก เพราะเราถูกปลูกฝังมาให้พุ่งทะยานไปข้างหน้า แล้วสักพักภัยพิบัติใหม่ก็จะโผล่มาอีก เหมือนการพยายามเดินเครื่องยนต์เกินกำลังไปเรื่อยๆ  สุดท้ายก็คงถึงจุดที่ภัยพิบัติทำให้ไม่มีทางกลับมาทำแบบเดิมได้อีกต่อไป จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ เราถึงจะหยุดพยายาม ซึ่งกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ โลกก็คงต้องสูญเสียหนักไปมากแล้ว

ขออย่าให้เป็นแบบนั้นเลย ขอให้ผมคิดผิด

รูเบนแซนวิช

ส่วนประกอบ

  • ขนมปังแผ่นแบบใดก็ได้ที่ชอบ 2 แผ่น
  • พาสตามี่แล่บางที่สุด 3-4 แผ่น
  • เชลด้าชีสแผ่น 2 แผ่น
  • ผักดองซาวด์เคราวน์ 1/4 ถ้วย
  • มัสตาส จำนวนหนึ่ง
  • เนยเค็ม จำนวนหนึ่ง

วิธีทำ

  1. นำขนมปังแผ่นมาทาเนยเค็มหนึ่งด้านทั้งสองแผ่น ควรใช้เนยเยอะสักนิดจะดูน่ารับประทาน
  2. วางพาสตามี่ลงบนขนมปังแผ่นหนึ่ง จากนั้นตามด้วยเชลด้สชีสเรียงหน้า
  3. นำทั้งหมดไปอบในเตาเอาหรือเตาปิ้งขนมปัง จนขนมปังกรอบสวย ชีสยืด
  4. นำออกจากเตา แล้วเรียงหน้าด้วยผักดองบนชีอีกที (ดูวิธีทำผักดอง)  เติมมัสตาสตามใจชอบ ประกบแผ่นขนมปัง แล้วนำไปเสิร์ฟได้เลย

หมายเหตุ

ที่จริงแล้วถ้าเอาขนมปังไปทอดในกระทะเทฟรอน จะได้ผิวหน้าที่มีรอยเกรียมๆ เล็กน้อย ดูน่ารับประทานกว่าการปิ้ง และถ่ายรูปลงไอจีก็จะสวยกว่า แต่ข้อเสียคือยุ่งยากกว่า และจะทำให้ชีสยืดด้วย ก็จะทำยากกว่าในกระทะ ดังนั้น เพื่อความสะดวกในฐานะของอาหารเช้ากินง่ายๆ ผมเลยเลือกใช้เตาอบมากกว่า

กะหล่ำปลีดอง (ซาวด์เคลาน์)

ผักดองที่ทำง่ายที่สุดไม่มีอะไรเกิน Sauerkraut เพราะใช้แค่ผักกับเกลือแค่นั้นเลยจริงๆ มันคือวิธีกำจัดกะหล่ำปลีที่กินเหลือที่สุดยอดมากๆ รสชาติของการหมักทำให้มันอร่อย

เร่ิมต้นด้วยการชั่งน้ำหนักกระหล่ำปลีที่เหลือในตู้เย็น จากนั้นล้างทำความสะอาดให้มากที่สุด ก่อนที่จะซอยให้เป็นเส้นบางๆ ปั่นให้แห้ง แล้วเติมเกลือให้ได้ประมาณ 2% ของนำ้หนักของผัก คลุกให้ทั่ว รอทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จะพบว่ามีน้ำออกมาจากผัก

ลำเลียงผักลงในขวดโหลที่ทำความสะอาดมาดีแล้ว ใช้ช้อนกดผักให้แน่นๆ ซึ่งจะทำให้มีน้ำออกมาจากผักมากขึ้นด้วย ค่อยๆ กดลงไปเรื่อยๆ จนเต็มขวดโหล ให้แน่ใจว่าผักทั้งหมดควรจะจมอยู่ใต้น้ำ จากนั้นปิดฝาขวดแบบหลวมๆ ตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง ที่ไม่โดนแสงแดดโดยตรง และไม่ร้อนจนเกินไป (ดีที่สุดคือราว 15-20 องศาเซลเซียสแบบในยุโรป)

รอผ่านไปอีก 2-3 วัน แล้วลองตรวจดูว่าทุกอย่างยังดูสะอาดอยู่ ไม่มีสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้น แค่ผักมีสีเข้มขึ้นเท่านั้น ลองชิมรสชาติว่าปกติดีหรือไม่ กดผักให้จมน้ำลงไปใหม่แล้วปิดฝา ที่จริงตอนนี้ก็สามารถเอามากินได้แล้ว แต่ถ้าหมักต่อไปอีกจะอร่อยยิ่งขึ้น สามารถเปลี่ยนมาหมักไว้ในตู้เย็นต่อได้ (แต่กระบวนการจะช้าลง)​ ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการกินคือ 1 เดือน

กระบวนการหมักเกิดจากจุลินทรีย์แลกโตบาซีรัส ซึ่งมีอยู่แล้วในธรรมชาติ ทำให้ผักมีรสเปรี้ยวเพราะเกิดกรดแลกติกขึ้นในน้ำผัก สภาพที่เป็นกรดทำให้ผักสามารถอยู่ได้นาน เป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่ง และยังทำให้ได้รสชาติที่อร่อยอีกด้วย