ผมเชื่อว่า ทุกคนเกิดมาเพื่อทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกัน เรามีหน้าที่ค้นพบแล้วมุ่งไปสู่สิ่งนั้น อย่ามัวแต่ใช้เวลาทำตามความคาดหวังของคนอื่นซึ่งเปล่าประโยชน์
ผมพบว่า ตัวเองเป็นคนที่มี inner เกี่ยวกับเรื่อง creativity เราชอบทำอะไรใหม่ๆ ชอบสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ทำชอบอะไรที่จำเจ รักอิสระ ชอบทำงานที่ตัวเองได้เป็นนายของตัวเอง ไม่ชอบรับคำสั่ง เวลาที่ได้ครีเอทสิ่งใหม่ๆ จะรู้สึกมีความสุขมาก และตรงกันข้ามหากไม่ได้ทำจะรู้สึกหดหู่
ผมพบว่าสิ่งที่มีช่วยผมค้นพบตัวเองอย่างมากคือ จิตวิทยาที่แบ่งบุคลิกภาพของคนเป็นแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Ennegram ผมแน่ใจว่าเป็นลักษณ์ 4 (Creativity) ที่มีปีกของลักษณ์ 5 (Intellectual) มาผสมอย่างแน่นอน นอกจากนี้ผมยังเป็นคนที่ introvert เป็นอย่างมาก เข้าขั้นมีปัญหาในการเข้าสังคม (เป็น INTJ ซึ่งพบแค่ 1% ในโลก) เลยทีเดียว
อีกส่วนหนึ่งคือประสบการณ์การทำงาน เวลาพรีเซ็นต์งานให้ลูกค้าฟัง จะมีคนมาชมเราบ่อยๆ ว่าเราอธิบายดี ความที่เป็นคนบ้ายอ ทำให้เราพัฒนาตัวเองในเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และก็ค้นพบว่า เรามีความสุขมากเวลาที่ได้นั่งทำสรุป ทำพรีเซ็นต์ เขียนบทวิเคราะห์ เขียนบทความ เขียนบล็อก อธิบายเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่าย มันเป็นส่วนผสมระหว่าง Creativity กับ Intelluctual ซึ่งเอามาประยุกต์ได้หลากหลายอาชีพมาก ไม่ต้องจำกัดตัวเองว่าเราอยากทำอาชีพอะไร ขอให้เป็นงานที่ได้ใช้ทักษะนี้ก็พอ สุดท้ายผมก็เข้าสู่การเป็นคนทำหนังสือเต็มตัว ซึ่งเป็นอาชีพที่ให้อิสระด้วย
จุดอ่อนของผมคือ ไม่ชอบงานที่ไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้เรียนรู้ ถ้าผมชอบอะไร ผมมักจะเริ่มต้นด้วยการบ้ามันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่พอเรียนรู้ทุกอย่างแล้ว ก็จะเริ่มเบื่อ หมดไฟ ทำให้ต้องออกไปหาสิ่งใหม่ๆ ทุก 7 ปี ทั้งที่ถ้ายังทำอาชีพเดิมต่อไปจะยังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อีกเยอะ แต่ก็ไม่สามารถทำต่อไปได้ เพราะหมดแรงจูงใจ ทำให้ต้องเปลี่ยนอาชีพไปเรื่อยๆ
ช่วงอายุแตะ 40 ปี รู้สึกเหมือนเกิดภาวะวิกฤตวัยกลางคน ไม่สนุกกับงานทุกอย่างที่เคยสนุก แต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ ได้ยากขึ้นด้วย เป็นช่วงเวลาที่แย่มาก
ช่วงหลังๆ นี้ เริ่มรู้สึกถึงความแก่ สุขภาพที่ไม่เต็มร้อย (โดยเฉพาะสายตา) เริ่มรู้ตัวว่าชีวิตมนุษย์ไม่ได้ยาวอย่างที่คิด เวลาเริ่มเหลือน้อย พอคิดแบบนี้ปุ๊บ Priority ต่างๆ ในชีวิตก็กลับตาลปัตรไปหมด อะไรหลายอย่างที่เคยสำคัญมากในชีวิตกลายเป็นเรื่องที่ไร้ค่าไปเลย เร่ิมให้ค่ากับความสุขในปัจจุบันมากกว่าความสำเร็จในอนาคต
คิดว่าสิ่งที่อยากทำ ณ จุดๆ นี้ไป อยากทำงานเกี่ยวกับ Creativity ที่ที่ผ่านมายังไม่ได้ทำ เรารู้สึกว่า ที่ผ่านมาเราทำทุกอย่างเพื่อให้คนรอบข้างยอมรับมากกว่าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบหรือสนใจจริงๆ เรามุ่งสายวิทย์มากเกินไป เพราะมันทำให้สังคมยอมรับเรามากกว่า ต่อไปนี้เราจะกลับมาทำงานศิลปะบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากทำจริงๆ แต่ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้พัฒนาทักษะด้านนี้เลย เพราะที่ผ่านมาเราแคร์สังคมมากเกินไป
ที่คิดไว้ตอนนี้คืออยากพัฒนา การเขียนนิยาย การเล่นดนตรี และการใช้ภาษาจีนของตัวเอง โดยพยายามทำทั้ง 3 อย่างนี้ทุกวันให้กลายเป็นนิสัยเหมือนการแปรงฟัน
ถามว่ามาเริ่มทำสิ่งเหล่านี้ตอนแก่จะประสบความสำเร็จได้เหรอ ก็ตอบว่าเป้าหมายตอนนี้ไม่ใช่ความสำเร็จ แต่คือการได้ทำ ได้ใช้เวลาไปกับสิ่งที่ชอบมากกว่า ผมได้ไอเดียมาจาก ยทบ.คนหนึ่งที่บอกว่า ความสำเร็จเป็นเรื่องไม่จริง เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกคนต้องตาย แล้วเราก็จะถูกโลกลืมอยู่ดี สิ่งที่มีค่ามากกว่าจึงได้แก่ ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราได้ทำสิ่งที่เราชอบหรือเปล่า ส่วนจะประสบความสำเร็จหรือไม่ มันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
มันต้องใช้ความกล้าเยอะมากเลยนะ ที่จะละทิ้งเป้าหมายชีวิตเดิม แล้ววิ่งไปหาเป้าหมายชีวิตใหม่ ตั้งแต่เด็กผมถูกปลูกฝังมาให้วัดความสำเร็จของชีวิตจากเงินเป็นหลัก แต่ตัวตนจริงๆ ของผมไม่ได้บูชาเงินขนาดนั้น ผมแค่ต้องการให้คนรอบข้างยอมรับ ต่อไปนี้ผมจะวิ่งตามเป้าหมายชีวิตที่ผมออกแบบเองตามความต้องการที่แท้จริงลึกๆ ในใจของผม พูดอีกอย่างก็คือ เลิกแคร์สื่อ
ผมยังชอบอีกแนวคิดหนึ่งของ ยทบ.ท่านนี้ที่บอกว่า ถ้าคุณมีเงินมากขนาดอยากกินชาบูชิเมื่อไรก็ไปกินได้เลย นั่นคือคุณรวยพอแล้ว จงเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่คุณอยากทำจริงๆ ดีกว่า ผมชอบไอเดียนี้มากๆ เลย
นอกเหนือจากการทำสิ่งที่ชอบแล้ว มีอีก 3 อย่างที่ผมดูแลตัวเองไปด้วย คือ สุขภาพ เงินออมและความสัมพันธ์ที่ดี เพราะว่ากันว่า คนสูงอายุจะมีความสุขหรือไม่ สุดท้ายขึ้นอยู่กับ 3 สิ่งนี้เท่านั้นเอง อะไรนอกจากนี้ ไม่จำเป็นเลย
(แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ นะ อย่าทำตาม inner ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จงหามันให้เจอด้วยตัวของคุณเอง)