Alice in Wonderland

ต่อไปนี้เป็น fun facts อื่นๆ ของ Alice in Wonderland ที่ไม่ได้ใส่ไว้ในคลิปวิดีโอ

  • บางคนบอกว่า ธีมของเรื่องนี้คือ Identity การที่อลิซตัวเล็กตัวใหญ่คอยาวตลอดทั้งเรื่อง ทำให้เธอสงสัยขึ้นมาว่า จริงๆ แล้วเธอคือใครกันแน่ ในเมื่อเธอเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เธอยังเป็นคนเดิมอยู่รึเปล่า
  • Queen of Hearts กับ Red Queen ในหนังสือจริงๆ แล้วเป็นคนละคนกัน ตัวแรกอยู่ในภาคหนึ่ง เป็นไพ่โพแดง ส่วนตัวที่สองเป็นหมากรุกสีแดง แต่คนมักสับสนคิดว่าเป็นคนเดียวกัน ในหนังของ ทิมเบอร์ตัน เอามารวมเป็นตัวเดียวกันไปเลย นอกจากนี้ในหนังสือยังมีตัวละครอีกตัวชื่อ Duchess ซึ่งเป็นคนละคนอีกเช่นกัน
  • ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า Lewis Carroll เอา Cheshire Cat มาจากไหน แต่ Cheshire เป็นชื่อเมืองในอังกฤษที่เลี้ยงวัวนม และ Cheshire Cat ก็เป็นสัญลักษณ์ของการดีใจที่รีดนมวัวได้เยอะ คำว่า Grin like a Cheshire cat ยังเป็นสำนวนภาษาอังกฤษอีกด้วย มีคนสันนิษฐานว่า Cheshire Cat แทน อาจารย์ที่ปรึกษาคนหนึ่งของ Lewis Carroll
  • Cheshire Cat เป็นเหมือนกูรูของเรื่อง เพราะชอบโผล่มาพูดอะไรเป็นปรัชญาเสมอ วลีอมตะของมันคือ We are all mad
  • Lewis เป็นนักประดิษฐ์ และช่างภาพด้วย เขาเป็นคนยุคแรกๆ ที่เล่นกล้องถ่ายรูป รูปที่อื้อฉาวมากคือรูปนู้ดของหนูน้อย Alice ซึ่งทำให้คนสงสัยว่า Lewis อาจเป็น pedophile แต่ก็ไม่เคยมีหลักฐานที่ยืนยันเรื่องนี้ได้ ที่แปลกก็คือ หลังจากหนังสือดัง Lewis ไม่ได้รับอนุญาตจากแม่ของเด็กให้เจอกับเด็กอีก โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และบันทึกส่วนตัวของเขาในช่วงเวลานั้นยังถูกฉีกหายไปด้วย
  • Alice in Wonderland ในเวอร์ชั่นหนังของ Tim Burton แตกต่างจากในหนังสือพอสมควร เช่น Queen of Heart กับ Red Queen (ในหนังสือ Through the looking glass) เป็นคนละคนกัน แต่ในหนังถูกยุบให้เป็นคนเดียวกัน ในหนังสือมีพระราชา แต่ไม่มีหัวหน้าอัศวิน ซึ่งกลับกับในหนัง ในหนังสือมี Duchess แต่ในหนังไม่มีตัวละครตัวนี้อยู่เลย เป็นต้น

 

ตำนานของซิสซีฟัส

ตำนานเล่าว่า Sisyphus ถูกสาปให้ต้องเข็นหินขึ้นภูเขา เมื่อเข็นขึ้นไปจนถึงยอดเขาแล้ว ก็จะตกกลับลงมาใหม่ ทำให้ต้องเข็นหินขึ้นภูเขาไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด

อัลแบร์ กามู ตีความว่า ชีวิตคนเราก็เหมือนกับ Sisyphus ต่อให้เรามีความพยายามที่จะประสบความสำเร็จ เพื่อที่จะได้มีความสุขมากแค่ไหน พอไปถึงยอดเขาแล้ว สักพักหนึ่งเราก็จะเบื่อ แล้วเริ่มมีความทุกข์อีก ทำให้เราต้องหาเป้าหมายใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีวันมีความสุขที่แท้จริงได้ เหมือนซิสซีฟัสที่ยังไงก็ต้องลำบากเข็นครกขึ้นภูเขาตลอดไปไม่มีวันจบสิ้น

ด้วยเหตุนี้แล้ว ถ้าคนเราไม่รู้จักหาความสุขระหว่างทาง ยังคิดว่าสักวันหนึ่งเราจะมีความสุขได้เมื่อประสบความสำเร็จ เราก็จะต้องมีความทุกข์ตลอดไป ความสำเร็จจึงเป็นแค่มายาคติ แต่ความสุขระหว่างทางที่จะเดินไปหาความสำเร็จไม่ว่าความสำเร็จสำหรับเราตอนนั้นจะคืออะไรก็ตามต่างหากที่เป็นความสุขที่แท้จริง ถ้าเราเรียนรู้ที่จะมีความสุขระหว่างทางได้ เราก็มีความสุขได้ทันที ไม่จำเป็นเลยว่าสุดท้ายแล้ว เราจะประสบความสำเร็จหรือไม่

เป็นปรัชญาที่แจ๋วที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมาในชีวิตในเวลานี้เลย

ประสบการณ์ของการค้นพบตัวเอง

ผมเชื่อว่า ทุกคนเกิดมาเพื่อทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกัน เรามีหน้าที่ค้นพบแล้วมุ่งไปสู่สิ่งนั้น อย่ามัวแต่ใช้เวลาทำตามความคาดหวังของคนอื่นซึ่งเปล่าประโยชน์

ผมพบว่า ตัวเองเป็นคนที่มี inner เกี่ยวกับเรื่อง creativity เราชอบทำอะไรใหม่ๆ ชอบสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ทำชอบอะไรที่จำเจ รักอิสระ ชอบทำงานที่ตัวเองได้เป็นนายของตัวเอง ไม่ชอบรับคำสั่ง เวลาที่ได้ครีเอทสิ่งใหม่ๆ จะรู้สึกมีความสุขมาก และตรงกันข้ามหากไม่ได้ทำจะรู้สึกหดหู่

ผมพบว่าสิ่งที่มีช่วยผมค้นพบตัวเองอย่างมากคือ จิตวิทยาที่แบ่งบุคลิกภาพของคนเป็นแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Ennegram ผมแน่ใจว่าเป็นลักษณ์ 4 (Creativity) ที่มีปีกของลักษณ์ 5 (Intellectual)  มาผสมอย่างแน่นอน นอกจากนี้ผมยังเป็นคนที่ introvert เป็นอย่างมาก เข้าขั้นมีปัญหาในการเข้าสังคม (เป็น INTJ ซึ่งพบแค่ 1% ในโลก) เลยทีเดียว

อีกส่วนหนึ่งคือประสบการณ์การทำงาน เวลาพรีเซ็นต์งานให้ลูกค้าฟัง จะมีคนมาชมเราบ่อยๆ ว่าเราอธิบายดี ความที่เป็นคนบ้ายอ ทำให้เราพัฒนาตัวเองในเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และก็ค้นพบว่า เรามีความสุขมากเวลาที่ได้นั่งทำสรุป ทำพรีเซ็นต์ เขียนบทวิเคราะห์ เขียนบทความ เขียนบล็อก อธิบายเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่าย มันเป็นส่วนผสมระหว่าง Creativity กับ Intelluctual ซึ่งเอามาประยุกต์ได้หลากหลายอาชีพมาก ไม่ต้องจำกัดตัวเองว่าเราอยากทำอาชีพอะไร ขอให้เป็นงานที่ได้ใช้ทักษะนี้ก็พอ สุดท้ายผมก็เข้าสู่การเป็นคนทำหนังสือเต็มตัว ซึ่งเป็นอาชีพที่ให้อิสระด้วย

จุดอ่อนของผมคือ ไม่ชอบงานที่ไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้เรียนรู้ ถ้าผมชอบอะไร ผมมักจะเริ่มต้นด้วยการบ้ามันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่พอเรียนรู้ทุกอย่างแล้ว ก็จะเริ่มเบื่อ หมดไฟ ทำให้ต้องออกไปหาสิ่งใหม่ๆ ทุก 7 ปี ทั้งที่ถ้ายังทำอาชีพเดิมต่อไปจะยังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อีกเยอะ แต่ก็ไม่สามารถทำต่อไปได้ เพราะหมดแรงจูงใจ ทำให้ต้องเปลี่ยนอาชีพไปเรื่อยๆ

ช่วงอายุแตะ 40 ปี รู้สึกเหมือนเกิดภาวะวิกฤตวัยกลางคน ไม่สนุกกับงานทุกอย่างที่เคยสนุก แต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ ได้ยากขึ้นด้วย เป็นช่วงเวลาที่แย่มาก

ช่วงหลังๆ นี้ เริ่มรู้สึกถึงความแก่ สุขภาพที่ไม่เต็มร้อย (โดยเฉพาะสายตา) เริ่มรู้ตัวว่าชีวิตมนุษย์ไม่ได้ยาวอย่างที่คิด เวลาเริ่มเหลือน้อย พอคิดแบบนี้ปุ๊บ Priority ต่างๆ ในชีวิตก็กลับตาลปัตรไปหมด อะไรหลายอย่างที่เคยสำคัญมากในชีวิตกลายเป็นเรื่องที่ไร้ค่าไปเลย เร่ิมให้ค่ากับความสุขในปัจจุบันมากกว่าความสำเร็จในอนาคต

คิดว่าสิ่งที่อยากทำ ณ จุดๆ นี้ไป อยากทำงานเกี่ยวกับ Creativity ที่ที่ผ่านมายังไม่ได้ทำ เรารู้สึกว่า ที่ผ่านมาเราทำทุกอย่างเพื่อให้คนรอบข้างยอมรับมากกว่าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบหรือสนใจจริงๆ เรามุ่งสายวิทย์มากเกินไป เพราะมันทำให้สังคมยอมรับเรามากกว่า ต่อไปนี้เราจะกลับมาทำงานศิลปะบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากทำจริงๆ แต่ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้พัฒนาทักษะด้านนี้เลย เพราะที่ผ่านมาเราแคร์สังคมมากเกินไป

ที่คิดไว้ตอนนี้คืออยากพัฒนา การเขียนนิยาย การเล่นดนตรี และการใช้ภาษาจีนของตัวเอง โดยพยายามทำทั้ง 3 อย่างนี้ทุกวันให้กลายเป็นนิสัยเหมือนการแปรงฟัน

ถามว่ามาเริ่มทำสิ่งเหล่านี้ตอนแก่จะประสบความสำเร็จได้เหรอ ก็ตอบว่าเป้าหมายตอนนี้ไม่ใช่ความสำเร็จ แต่คือการได้ทำ ได้ใช้เวลาไปกับสิ่งที่ชอบมากกว่า ผมได้ไอเดียมาจาก ยทบ.คนหนึ่งที่บอกว่า ความสำเร็จเป็นเรื่องไม่จริง เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกคนต้องตาย แล้วเราก็จะถูกโลกลืมอยู่ดี สิ่งที่มีค่ามากกว่าจึงได้แก่ ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราได้ทำสิ่งที่เราชอบหรือเปล่า ส่วนจะประสบความสำเร็จหรือไม่ มันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น

มันต้องใช้ความกล้าเยอะมากเลยนะ ที่จะละทิ้งเป้าหมายชีวิตเดิม แล้ววิ่งไปหาเป้าหมายชีวิตใหม่ ตั้งแต่เด็กผมถูกปลูกฝังมาให้วัดความสำเร็จของชีวิตจากเงินเป็นหลัก แต่ตัวตนจริงๆ ของผมไม่ได้บูชาเงินขนาดนั้น ผมแค่ต้องการให้คนรอบข้างยอมรับ ต่อไปนี้ผมจะวิ่งตามเป้าหมายชีวิตที่ผมออกแบบเองตามความต้องการที่แท้จริงลึกๆ ในใจของผม พูดอีกอย่างก็คือ เลิกแคร์สื่อ

ผมยังชอบอีกแนวคิดหนึ่งของ ยทบ.ท่านนี้ที่บอกว่า ถ้าคุณมีเงินมากขนาดอยากกินชาบูชิเมื่อไรก็ไปกินได้เลย นั่นคือคุณรวยพอแล้ว จงเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่คุณอยากทำจริงๆ ดีกว่า ผมชอบไอเดียนี้มากๆ เลย

นอกเหนือจากการทำสิ่งที่ชอบแล้ว มีอีก 3 อย่างที่ผมดูแลตัวเองไปด้วย คือ สุขภาพ เงินออมและความสัมพันธ์ที่ดี เพราะว่ากันว่า คนสูงอายุจะมีความสุขหรือไม่ สุดท้ายขึ้นอยู่กับ 3 สิ่งนี้เท่านั้นเอง อะไรนอกจากนี้ ไม่จำเป็นเลย

(แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ นะ อย่าทำตาม inner ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จงหามันให้เจอด้วยตัวของคุณเอง)