เต๋าเต๋อจิง

จักรวาลไม่ได้เห็นความสำคัญของเราอย่างที่เรามักคิดว่าเราสำคัญ

จักรวาลดำเนินไปเรื่อยๆ ตามวิถีของมัน โดยไม่ได้สนใจว่าเราเป็นใคร

เลิกทำตัวราวกับว่าตัวเองเป็นศูนย์กลาง เราก็จะมีอิสระ เราก็จะมีความสุข เพราะเลิกสำคัญตัวเองผิด

ทำตัวเราให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่ฝืนโลก ไม่เป็นต้นไม้ที่ยืนขวางลมพายุ เราก็จะไม่เป็นทุกข์

เต๋ามองความเจริญของมนุษย์เป็นเหมือนการยิ่งพยายามออกห่างจากธรรมชาติไปเรื่อยๆ นำมาซึ่งความทุกข์ จงพยายามใช้ชีวิตให้เรียบง่าย

สูงสุดคือไม่ต้องทำอะไรเลย เรียกว่า 无为 (WuWei) ไม่ได้หมายถึงอยู่นิ่งกับที่ แต่หมายความว่าเมื่อเราทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติได้แล้ว เราก็จะไม่ต้องทำอะไรอีก เพราะทุกอย่างสมบูรณ์ในตัวหมดแล้ว การที่เรายังทำงานหนักอยู่ แสดงว่าเรายังไม่บรรลุ 无为 ผู้ปกครองที่ยังต้องสั่งการทุกวันแสดงว่ายังไปไม่ถึง无为 ถ้าถึงแล้ว จะไม่ต้องปกครอง เครื่องมือที่ดีที่สุดคือเครื่องมือที่ใช้ไม่ได้ เพราะถ้ายังใช้ได้อยู่ก็แสดงว่ายังต้องทำงานอยู่ ยังไม่ 无为

(เต๋าเชื่อเรื่อง 无为 เหมือนขงจื๊อ แต่วิธีการคือตรงกันข้ามกันเลย ขงจื้อเชื่อว่า 无为 เกิดจากการพัฒนาตัวเองมามากจนบรรลุทักษะระดับสูงสุดแล้วก็จะไม่ต้องทำอะไรอีก)

ภัควัคคีตา

การทำตามใจตัวเอง ไม่ใช่อิสระภาพ แต่คือการอยู่ใต้อำนาจของกิเลส

การเสพสุขทางกาย ไม่ใช่อิสระภาพ แต่คือการอยู่ใต้อำนาจของกามตัณหาเหล่านั้น

เราทุกคนต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของอะไรบางอย่างที่ใหญ่กว่าตัวเรา เช่น เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เป็นนักเรียน เป็นลูกจ้าง เป็นประชาชน และเป็นองค์ประกอบหนึ่งของจักรวาล

สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการทำตามใจตัวเองจึงได้แก่การทำตัวให้สอดคล้องกับหน้าที่ของเราที่มีต่อสิ่งที่เราเป็นส่วนหนึ่งนั้น ทำหน้าที่ของลูกที่ดี นักเรียนที่ดี พนักงานที่ดี ประชาชนที่ดี และนั่นเองคือคุณค่าของชีวิต

เปรียบเสมือนเราเป็นล้อข้างหนึ่งของรถยนต์ทั้งคัน ลำพังตัวเราเองไม่ได้มีความสำคัญหรือความหมายใดๆ แต่เราในฐานะอะไหล่ชิ้นหนึ่งที่ทำให้รถทั้งคันวิ่งได้ต่างหากที่ทำให้เรามีคุณค่า

คนเราต้องรู้จักบังคับตัวเอง เพื่อให้เราสามารถทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่เอาแต่ทำตามใจตัวเอง เราต้องมีโยคะ หมายถึงมีวินัยในการดำรงชีวิต มีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ แสวงหาความรู้เพื่อทำหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง และอุทิศตนเพื่อส่วนรวม

=====================================

ส่วนตัวผมรู้สึกว่าคติอันนี้อาจเป็นเพียงอุบายของผู้ปกครองที่หลอกใช้ชาวบ้านหัวอ่อนให้ทำงานหนักให้ตน เป็นวิธีปกครองที่ง่ายกว่าการใช้กำลังบังคับรึเปล่า?ยอมรับว่าไม่ถูกจริต

ไก่ทอดเกาหลี

ในที่สุดก็ทอดไก่ให้กรอบแบบ crunchy ได้สำเร็จ

ใช้แค่แป้งข้าวโพดเปล่าๆ คลุกไก่เท่านั้น ไม่ต้องผสมน้ำใดๆทั้งสิ้น และไม่ต้องหนามากด้วย แป้งติดไก่ได้แค่ไหน ก็เอาแค่นั้น แป้งที่หนาเกินไปกลับไม่ใช่เรื่องดี เพราะไก่จะไม่สุก แป้งจะไม่ติดกับหนังไก่ แค่มีแป้งบางๆ อยู่ก็พอแล้ว

ทอดด้วยไฟกลาง อุณหภูมิประมาณ 180-200 องศาเซลเซียส ประมาณ 10 นาที ถ้าไก่ไหม้แสดงว่าไฟแรงเกินไป พักให้เย็นลงแล้วนำกลับไปทอดใหม่เหมือนเดิมอีก 10 นาที

ในส่วนของซอสเคลือบก็ไม่มีอะไรมาก ใช้แค่กระเทียม น้ำตาลทราย พริกแห้ง น้ำส้มสายชู สัดส่วนแล้วแต่คนชอบ เคี่ยวให้ได้ความหนืดที่ต้องการ แล้วนำไก่ที่ทอดไว้แล้วมาคลุก แค่นี้ก็เสร็จแล้ว

Seafood Pajeon

นี่คือสุดยอดอาหารเกาหลีที่ทั้งอร่อยเพราะว่าเป็นของทอด และเวลาเดียวกันก็ได้กำจัดผักที่เหลือในตู้เย็นได้ด้วย เพราะจะใส่ผักอะไรเข้าไปก็ได้

เคล็ดลับในการทำให้กรอบ คือแม้ว่าจะทอดด้วยกระทะเทฟล่อน แต่ก็ควรใช้น้ำมันค่อนข้างมาก เพราะถ้าน้ำมันน้อย จะไม่มีทางทำให้กรอบได้เลย ควรใช้น้ำมันที่มากกว่าการผัด เช่น 3 ช้อนโต๊ะขึ้นไป แล้วค่อยเทน้ำมันส่วนเกินออกทีหลังตอนทอดเสร็จแล้วก็ได้

สำหรับแป้งที่ใช้จะเป็นแป้งมันฝรั่ง แป้งข้าวโพด หรือแป้งอเนกประสงค์ก็ได้ หรือจะผสมกันก็ได้ แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน แต่ที่สำคัญคือน้ำต้องน้อยกว่าแป้ง เช่น 75% ของแป้งก็พอ มิฉะนั้นจะเหลวเกินไป

อีกเคล็ดลับในการทำให้กรอบน่ากินคือ พยายามทำให้บางไว้ก่อน ถ้าแป้งหนาเกินไปจะไม่น่ากิน เรียกว่าควรให้เครื่องอย่างอื่นพอๆ กับแป้ง และพยายามใช้ให้น้อยที่สุด แต่เต็มกระทะพอดี ผสมแป้งและน้ำลงไปในเครื่องตั้งแต่แรกเลย แล้วค่อยตักใส่กระทะที่ตั้งไฟไว้แล้ว แต่ละหน้าควรจะมีความไหม้นิดๆ ก็คือได้ที่แล้ว

แต่ละหนาควรทอดอย่างน้อย 3-4 นาที ด้วยไฟกลางเท่านั้น และเวลาพลิกกลับหน้ามีเคล็ดลับคือต้องกลับให้ไวที่สุด คือไวจนส่วนผสมไม่ทันจะได้แตกออกจากกัน ก็จะได้การกลับหน้าที่สวยงาม

เป็นอีกจากที่ทำง่ายแต่เต็มไปด้วยเทคนิคครับ

Baby Reindeer


ชอบเรื่องนี้เพราะเป็นความตื่นเต้นรูปแบบใหม่ที่ไม่จำเจ สะท้อนความรู้สึกของคนเราเวลากลัวคนที่เป็น stalker ออกมาได้ดี ทำให้อยากดูตอนต่อไปเรื่อยๆ จนจบ ซึ่งมีซีรีส์จำนวนน้อยมากในปัจจุบันที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ได้

ดูเหมือนเรื่องนี้จะเขียนจากเรื่องจริง ซึ่งนักแสดงนำที่เป็นทั้งผู้กำกับด้วยเขียนบทเรื่องนี้จากเรื่องราวส่วนตัวของตัวเองที่ได้ประสบพบเจอมา แต่มีชั้นเชิงในการเขียนบทที่ทำให้ดูเหมือนเรื่องแต่งดีๆ เรื่องหนึ่งเลย แม้ว่าหลังจากที่ซีรีส์ออกฉายจะทำให้ผู้กำกับต้องโดนดราม่ากระหน่ำไปบ้าง เพราะในช่วงแรกๆ เขาไม่สามารถเปิดเผยตัวจริงของ Martha ในเรื่องนี้ได้ เพราะต้องรักษาความเป็นส่วนตัวให้เธอ ทำให้มีคนสงสัยว่ามันเป็นเรื่องจริงแน่หรือเปล่า ซึ่งนี่เป็นประเด็นสำคัญ เพราะบางคนอาจมองว่าเรื่องนี้เป็นการเขียนบทที่ bully ผู้หญิงอ้วนรึเปล่า ซึ่งถ้าเรื่องนี้เขียนจากเรื่องจริง ก็ว่าไม่ได้

อย่างไรก็ตาม นักสืบพันธ์ทิพย์ก็สามารถสืบค้นตัวจริงได้ในเวลาไม่นาน แต่ก็กลายมาเป็นปัญหาอีก เพราะ Martha ตัวจริงบอกว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดี เพราะความจริงเธอไม่เคยถูกตัดสินว่ามีความผิดเหมือนอย่างในเรื่องเลย

ส่วนตัวมองว่าในแง่งานสร้างสรรค์ มันคือผลงานศิลปะชั้นดีเลย หนังไม่ได้โจมตี stalker ขนาดนั้น เพราะดูเป็นเรื่อยๆ จะรู้สึกว่าจริงๆแล้ว มันคือบันทึกการเดินทางของตัวละครหลักมากกว่า และเป็นบันทึกการเดินทางที่น่าสนใจมาก เพราะมันคือความลื่นไหลเรื่องเพศของตัวละครหลัก ที่ไม่ได้มีแค่ Martha เท่านั้นที่เข้ามาในชีวิตของเขา แต่ยังมีคนอื่นๆ อีก และเต็มไปด้วยความหลากหลายทางเพศด้วย เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำรวจเข้าไปได้ลึกถึงสิ่งที่อยู่ภายใต้จิตใจลึกๆ ของตัวละครเองในเรื่องที่เกี่ยวกับเพศสภาพ

นับเป็นอีกเรื่องในช่วงนี้ที่น่าจะอยู่ในความทรงจำไปอีกนาน

พี่น้องต่างขั้ว ครอบครัวจำเป็น

บางเวลาก็อยากดูซีรีส์ที่ไม่ต้องใช้ความคิดเยอะ ซีรีส์ที่ฟิวกู้ด ซึ่งละครสมัยก่อนจะมีให้ดูแบบนี้เยอะมาก แต่เดี๋ยวนี้ดูเหมือนซีรีส์จะจริงจังกันมากขึ้น พอมาเจอเรื่องนี้ก็เลยชอบ เพราะเป็นเรื่องที่ดูสบายๆ ดูแล้วมีความสุข ไม่ได้เหมือนจริงขนาดนั้น แต่ดูแล้วมีความสุข จะต้องการอะไรไปมากกว่านี้

เรื่องราวของเกาหยาง เด็กมัธยมจากเมืองเถี่ยหยวน ซึ่งอาศัยอยู่กับพ่อที่เป็นครูพละที่ไม่เอาไหน ส่วนแม่นั้นแยกทางกันไปนานแล้ว เพราะแม่เป็นคนทะเยอทะยานบ้างาน วันหนึ่งพ่อของเกาหยางก็พาเสี่ยวเหวิน นักเรียนจากเมืองอยู่มาอยู่ด้วย เพราะอยากอุปการะลูกชายของคนรักเก่า เกาหยางและเสี่ยวเหวินก็เลยต้องกลายมาเป็นพี่น้องจำเป็น แรกๆ ก็ไม่ถูกกัน (ตามสูตร) แต่สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นพี่น้องที่รักกันมาก

ชอบนิสัยของเกาหยาง ที่ลึกๆ แล้วเป็นเด็กที่ขาดความรักจากแม่ ทำให้อยากมีเพื่อน อยากมีพี่น้อง แม้เป็นคนที่ไม่เอาไหนแต่ในแง่ความรักเพื่อนแล้ว ยากที่ใครจะไม่ใจอ่อน ถ้าเราได้มีเพื่อนแบบนี้ เราคงรักตายเลย

แม้ว่าจะเป็นซีรีส์ฟิวกู้ดดูเล่นๆ ขำๆ แต่การเขียนบทเรื่องนี้ต้องนับว่ามีความพิถีพิถันในรายละเอียดนะ อาหารบ้านครูพละจะมีแต่เมนูผักเป็นองค์ประกอบหลัก แต่พอเป็นอาหารบ้าน ผอ.โรงเรียน อาหารจะเน้นเนื้อสัตว์มากกว่า แสดงถึงฐานะที่ต่างกัน คาแรกเตอร์ของตัวละครก็ยากที่ใครจะไม่หลงรัก มีทั้งอารมณ์ขัน และความซาบซึ้ง เรียกได้ว่ามีครบรส เพลงประกอบก็เพราะ จะต้องการอะไรไปมากกว่านี้

ซีรีส์จีนเต็มไปด้วยแนวรัก RomCom นานๆ จะมีแนวอื่นเช่นแนวดราม่าครอบครัวโผล่มาสักเรื่อง เดาว่าเรื่องนี้เกิดจากความพยายามที่จะทำซีรีส์วายบ้าง แต่ตามกฎหมายจีนคือทำไม่ได้ ก็เลยทำออกมาในรูปแบบของมิตรภาพระหว่างพี่น้องแทน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็ทำออกมาได้ดีเลย

ดูฟรีได้ทาง True ID

ชุดสเต็กปลากะพงย่างเกลือ

อาหารที่ healthy ที่สุด น่าจะหนีไม่พ้นพวกชุดอาหารญี่ปุ่น ซึ่งเราสามารถดัดแปลงกินเองที่บ้านได้ด้วยการใช้ข้าวกล้องแทนข้าวขาว แค่นี้ก็อร่อยสุดๆ แล้ว

สลัดซีซ่าร์

ส่วนผสมของสลัด

  1. ผักคอส
  2. ขนมปังปิ้งหั่นท่อน
  3. เบคอนจำนวนหนึ่ง
  4. พาเมซานชีส
  5. น้ำสลัดญี่ปุ่น

ส่วนผสมของน้ำสลัดญี่ปุ่น

  1. น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
  2. น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
  3. ซีอิ้วญี่ปุ่น 1 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำมันงา 1 ช้อนชา
  5. พริกไทยและเกลือเล็กน้อย
  6. น้ำผึ้งเล็กน้อย (Optional)

เคล็ดลับ

  • ล้างผักน้ำสุดท้ายด้วยน้ำเย็นจัดและสะบัดน้ำออกให้แห้งก่อนนำมาคลุกกับส่วนผสมอื่นๆ
  • อาจใช้อกไก่สับแทนเบคอนก็ได้

เรื่องกินที่ยังไม่เคยลงตัว

หลายปีที่ผ่านมากับการลองหานโยบายที่ดีที่สุดสำหรับการกินอาหารของตัวเอง แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่เคยลงตัว

เรื่องการกินเป็น trade-off ที่เราไม่สามารถบรรลุได้ทุกอย่าง ต้องเลือกเท่านั้น และมันก็เป็นอะไรที่เลือกยากมากจริงๆ

ถ้าถามว่าตอนนี้เราคิดว่านโยบายการกินที่เหมาะกับเราคืออะไร คำตอบน่าจะเป็น

ทำกินเองเฉพาะมื้อเช้า มีผลไม้ติดตู้เย็นไว้กินมื้อเย็นบ้าง ถ้าจะทำอะไรกินเองจริงๆ ก็เป็นแค่เมนูนึกสนุก ทำครั้งเดียวก็พอ

เหตุผลก็คือ ถ้าคิดจะทำอาหารกินเอง ต้องซื้อวัตถุดิบ แล้วก็พบว่า วัตถุดิบมีเยอะเกินไป ทำให้จำเป็นต้องกินเยอะโดยไม่จำเป็น ยิ่งเดี๋ยวนี้เราคุมน้ำหนักด้วย ทำให้แคลอรี่ที่รับได้มีจำกัด เลิกคิดจะทำมื้อเที่ยงหรือเย็นกินเองไปเลยดีกว่า ถ้าไม่มีอะไรจะกินจริงๆ ก็ถือโอกาสทำ IF ไปเลย แบบนี้เราก็จะมีของเหลือทิ้งน้อยลง แคลอรี่ที่ต้องกินก็ไม่เกินด้วย

ณ วันนี้คงเป็นแบบนี้ไปก่อน แต่วันหน้าก็ไม่รู้นะว่าจะต้องเปลี่ยนอีกมั้ย มันไม่เคยลงตัวสักที