คติพจน์ประจำใจ

ถ้าให้เลือกคติพจน์ประจำใจที่ดีที่สุดของตัวเองก็คงจะเป็นวลีที่บอกว่า เราสามารถทำอะไรก็ได้หมุดทุกอย่างที่เราอยากทำ ตราบเท่าที่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เดือดร้อนคนอื่น แต่วลีนี้เป็นอะไรที่จะต้องขยายความสักหน่อย

ผมรู้สึกว่าชีวิตที่ผ่านมา ถ้าหากผมยึดคติพจน์ข้อนี้ให้มากขึ้นกว่านี้สักหน่อย ผมคงมีความสุขมากกว่านี้ เราปล่อยให้โอกาสในชีวิตที่ดีๆ หลายๆ ครั้งหายไป เพียงเพราะว่าเรากลัวคนอื่นจะคิดยังไงกับเราโดยไม่จำเป็น มากกว่าที่เราจะฟังความต้องการในใจลึกๆ ของตัวเราเอง

ที่มันน่าเจ็บปวดก็คือ บ่อยครั้งคนเหล่านั้นที่เรากลัวว่าเขาจะคิดยังไงกับเรา ไม่ใช่คนที่หวังดีกับเรา แต่เป็นคนที่คอยสอดรู้สอดเห็น อิจฉาริษยา ไม่ยอมรับเรา ไม่อยากให้เราได้ดี เรามัวแต่ใช้พลังงาน 95% ของเราไปกับการทำให้คนเหล่านี้ยอมรับเรา มองว่าเราเป็นคนไม่แปลก ซึ่งสุดท้ายแล้วต่อให้เราทำดีแค่ไหน พวกเขาก็ยังไม่ยอมรับเราอยู่ดี เราน่าจะเอาเวลาตรงนั้นไปทำสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ มากกว่า แคร์คนแค่ไม่กี่คนที่รักและหวังดีกับเรามากกว่า แต่แปลกที่เราก็ไม่ได้เลือกที่จะทำแบบนั้น มันเป็นชีวิตที่น่าเสียดาย

จริงๆ แล้ว คนเราสามารถทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ แล้วตำรวจไม่จับ แต่เป็นเพราะว่าเรากลัวนั่นกลัวนี่เต็มไปหมด กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเราเป็นคนแบบไหน มองว่าเราแปลก มองว่าเราไม่มีมารยาท ไม่ยอมรับเราเป็นพวก ฯลฯ ทำให้เราไม่กล้าทำสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ ซึ่งหลายๆ ครั้งมันก็อาจเป็นเพราะเรากังวลมากเกินไปว่าคนรอบข้างเขาจะคิดยังไงกับเรา ทั้งที่จริงๆ แล้ว เขาเหล่านั้นอาจไม่ได้สนใจเราเลยด้วยซ้ำ ทุกคนก็เห็นตัวเองเป็นตัวละครหลักของโลกที่มีคนอื่นเป็นแค่ตัวประกอบทั้งนั้นแหละ เราไม่ได้สำคัญสำหรับคนอื่นขนาดนั้นหรอก แต่เราสำคัญผิดไปเองว่าคนอื่นจะคอยตัดสินเราอยู่ตลอดเวลา หรือบางครั้งก็จริง แต่คนเหล่านั้นก็ไม่ใช่คนที่หวังดีกับเรา ก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องแคร์คนเหล่านั้นไปเพื่ออะไร

เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งที่บอกว่า วันที่เราตายจะมีคนจำนวนหนึ่งที่เสียใจ และก็อาจมีคนจำนวนหนึ่งที่ดีใจ แต่หลังจากนั้นอีกห้าปี ทุกคนจะลืมเรา นั่นสินะ จริงๆ แล้ว เราไม่ได้สำคัญสำหรับคนอื่นมากขนาดนั้น ทุกคนมีเรื่องของตัวเองที่ต้องทำ ไม่มีเวลามาสนใจเราขนาดนั้นหรอก แต่สำคัญผิดไปเอง ตอนมีชีวิตอยู่ ถ้าเราอยากทำอะไร ก็ทำไปเถอะ ก่อนที่จะไม่ได้ทำ อย่ามัวแต่ไปสนใจว่าคนอื่นจะคิดกับเรายังไง มันไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้น สุดท้ายแล้วเราก็จะถูกลืมอยู่ดี

คนเรามักบ้าความดี และเราก็อยากรู้สึกว่า ตัวเราเองเป็นหนึ่งในคนดีนั้น เรากลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าเราเป็นคนไม่ดี เราจึงอยากให้ทุกคนรักเรา หรือมองว่าเราเป็นคนดี ไม่ใช่คนเลว ซึ่งนั่นมีต้นทุนในชีวิตเยอะมาก จริงๆ แล้ว คนที่ทุกคนบอกว่าเป็นคนดี มักไม่ใช่คนดี แต่เป็นแค่คนที่เอาใจคนอื่น เพื่อให้ทุกคนชอบตัวเอง แทนที่จะเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ ซึ่งหลายครั้งหมายถึงการทำสิ่งที่ต้องมีบางคนชอบ บางคนเกลียด ดังนั้น คนที่ทำสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ มักไม่ใช่คนที่ทุกคนรัก แต่เป็นคนที่มีทั้งคนรักและคนเกลียดมากกว่า บุคคลสำคัญของโลกหลายคนมีศัตรูคู่อาฆาต ดังนั้นเราจะอยากให้ทุกคนรักเราไปทำไม ทำสิ่งที่ถูกต้องดีกว่า

ยิ่งสังคมไทยเป็นสังคมวัยวุฒิ คุณค่าของคนอยู่ที่จำนวนผมหงอกบนหัว ทั้งที่บางทีคนแก่บางคนก็เลวเอามากๆ แต่เราก็ไม่กล้าขัดใจ เพราะกลัวคนจะมองว่าเราไม่มีสัมมาคารวะ เป็นคนอกตัญญู เราเลยต้องยอมคนเหล่านั้น ทั้งที่สิ่งที่คนเหล่านั้นทำเป็นสิ่งที่ไม่ถูก ที่จริงแล้ว เราควรจะดูที่การกระทำมากกว่า คนแก่หรือคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่ของเราเราก็ไม่จำเป็นต้องเคารพก็ได้ ถ้าคนเหล่านั้นทำตัวไม่น่าเคารพ การเป็นญาติหรือไม่เป็นญาติ ไม่เกี่ยว แน่นอนว่าการทำแบบนั้น เราก็อาจจะถูกตอบโต้โดยผู้ใหญ่เหล่านั้น ซึ่งมักจะมีอำนาจเหนือกว่าเราในทางลำดับชั้นทางสังคมที่จะสามารถอาศัยอำนาจเหล่านั้นมากดดันเราได้ แต่นั่นแหละก็คือ trade-off ในชีวิตที่คนเราจำเป็นต้องเลือก เราควรเลือกทำสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้องมากกว่า อย่ามัวแต่ยอมให้คนเลวๆ เหล่านั้นครอบงำทุกอย่างในชีวิตของเรา จนเราไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเอง

ผมมาค้นพบตอนหลังว่า จริงๆ แล้ว ความต้องการในชีวิตหลายอย่างของคนเราที่เรามักคิดว่าเป็นความต้องการของเราเองจริงๆ นั้น จริงๆ แล้ว เราแค่ต้องการสิ่งเหล่านั้นเพื่อพิสูจน์หรือทำให้คนรอบข้างยอมรับเราเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอยากได้ซุปเปอร์คาร์ อยากสอบติดคณะที่เข้ายากๆ อยากเรียนจบปริญญาเอก อยากมีชื่อเสียง อยากเป็นมหาเศรษฐี อยากไปกินร้านมิชลิน อยากมีกระเป๋าแบรนด์เนม อยากทำงานอดิเรกบางอย่างที่เท่ๆ ลองสมมติว่า ถ้าเราได้สิ่งเหล่านั้นสมปรารถนา แต่ห้ามให้คนอื่นรู้เลยว่าเราได้สิ่งนั้น เราจะยังต้องการสิ่งนั้นอยู่รึเปล่า บ่อยครั้งเราจะพบว่า ถ้าต้องมีเงื่อนไขนี้ ความอยากได้สิ่งเหล่านั้นก็แทบจะหายไปทันที นั่นเป็นเพราะว่าจริงๆ แล้ว เราไม่ได้อยากได้สิ่งเหล่านั้นเองจริงๆ เราแค่อยากได้มันเพื่อเป็นบันไดไปสู่การที่คนอื่นจะยอมรับเราเท่านั้นเอง จริงๆ แล้ว เราแค่ต้องการการยอมรับจากคนรอบข้าง ซึ่งสุดท้ายแล้ว คนอื่นก็ไม่ได้สนใจเรามากขนาดนั้น หรือถ้าบางคนเห็นเราทำสิ่งเหล่านั้นได้ ก็อาจรู้สึกริษยาเรามากกว่าเดิม ไม่ได้รักเราอยู่ดี เราจะแคร์สื่อไปทำไม

ถ้าเราเลิกแคร์สื่อ แล้วหันกลับมาที่ความต้องการที่เป็นของตัวเราเองจริงๆ เราจะพบว่า สิ่งที่เราอยากได้จริงๆ นั้นเหลือไม่ถึง 5% ชีวิตจะง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก มีพลังและทรัพยากรเหลือให้โฟกัสกับสิ่งที่ตัวเองอยากได้จริงๆ มากขึ้นมาก ชีวิตที่ไม่ได้โหยหาการยอมรับจากคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เป็นชีวิตที่มีความมั่นคงในจิตใจมากกว่า

เรื่องที่ทำให้ชีวิตยุ่งยากโดยไม่จำเป็น

เรื่องหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเรายุ่งยากโดยไม่จำเป็นคือ คนเรามักชอบให้คนอื่นคิดเหมือนกับตัวเอง เราชอบคนที่คิดแบบเดียวกับเรา และมักรู้สึกอึดอัดเวลาที่ต้องเจอใครที่คิดต่างจากเรา ถ้าเราสามารถตัดความต้องการนี้ออกไปได้ ชีวิตของเราจะง่ายขึ้นมากในหลายๆ มิติ

มาลองคิดดูดีๆ ทำไมเราต้องอยากให้คนอื่นคิดเหมือนกับเราด้วย ถ้าคนอื่นคิดต่างจากเราแล้วมันยังไง มันก็แค่ความคิดเห็นที่ต่างกันเฉยๆ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่คนสองคนจะคิดเหมือนกันไปหมดทุกเรื่อง เราจะแสวงหาเพื่อนที่คิดเหมือนเราไปทำไม บางทีมันอาจเป็นสัญชาตญาณบางอย่างที่ธรรมชาติสร้างมาให้บรรพบุรุษของเรา เพื่อให้เราอยู่รอดได้มากขึ้นจากการรวมกลุ่ม แต่มันไม่ได้จำเป็นอีกต่อไปแล้วในโลกสมัยใหม่ เหมือนๆ กับสัญชาตญาณของการเหยียดผิว

คนเราชอบผูกขาดความจริง เราอยากให้ความเชื่อของเราได้ถูกสถาปนาขึ้นเป็นความถูกต้องที่สังคมทั้งหมดต้องยอมรับ แต่ในความเป็นจริง ทุกคนในสังคมไม่มีทางคิดเหมือนกันได้หมด และคนอื่นๆ ก็อยากให้ความเชื่อของเขาได้ถูกสถาปนาขึ้นเป็นความถูกต้องเช่นกัน กลายเป็นความขัดแย้งที่ไม่มีวันจบสิ้น

ในสังคมอำนาจนิยม บ่อยครั้งความขัดแย้งนี้จบลงด้วยการใช้อำนาจบังคับโดยผู้ที่มีอำนาจมากกว่า ถ้าเรามีอำนาจหรือสถานะทางสังคมที่เหนือว่าใครในสังคม เราก็มักจะใช้อำนาจนั้น บังคับทั้งทางตรงและทางอ้อม ให้คนที่อยู่ใต้เราต้องเชื่อตามเราไปด้วยแบบไม่เต็มใจ เช่น ถ้าเราเป็นเจ้านาย เราก็แสดงออกว่าเราชอบลูกน้องคนที่คิดเหมือนเรามากกว่า หรือไม่รับใครเข้าทำงานด้วยเหตุผลที่ว่า เขามีความคิดเห็นทางการเมืองต่างกันเรา เพื่อบังคับให้ลูกน้องหันมาคิดเหมือนเรา  เป็นครูบาอาจารย์ก็บังคับลูกศิษย์ เป็นพ่อแม่ก็บังคับลูก ทั้งที่เราก็รู้ว่า คนเหล่านั้นไม่ได้เห็นด้วยกับเราจริงๆ เขาแค่กลัวเรา แต่เราก็ยังยินดีที่จะหลอกตัวเอง บังคับให้คนอื่นต้องไหว้หน้าหลังหลอก เพราะความต้องการที่จะผูกขาดความจริงของเรามันรุนแรงมาก และเราก็จะหาเหตุผลดีๆ มาสนับสนุนการใช้อำนาจในทางมิชอบของเรา เช่น บอกว่าเราทำเพื่อความถูกต้องบ้างล่ะ เพื่อความดีบ้างล่ะ แต่จริงๆ แล้วเราแค่อยากผูกขาดความจริง เป็นการทำเพื่อตัวเองล้วนๆ

ยิ่งเป็นเรื่องความคิดเห็นทางการเมือง เรายิ่งรู้สึกรุนแรง เรารู้สึกเกลียดชังคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองฝั่งตรงข้ามกับเราอย่างมาก หลายๆ คนอยากให้คนจำนวนหนึ่งในสังคมตาย เพื่อให้สังคมที่เหลือทั้งหมดเห็นด้วยกับตัวเอง หลายคนอยากจับคนที่เห็นต่างมานั่งอธิบายยาวๆ ว่าเขาผิดยังไง และเราถูกยังไง ที่น่าตลกก็คือ คนที่เห็นต่างกับเราเองก็อยากเปลี่ยนเรามากเท่าๆ กับที่เราอยากเปลี่ยนเขานั่นแหละ ความคิดเห็นทางการเมืองเป็นอะไรที่หยั่งรากลึกมากๆ ในตัวคน ดังนั้นแค่การมานั่งอธิบายเหตุผลยาวเหยียดมักเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมืองไม่ได้ง่ายๆ ต่อให้เราเถียงจนอีกฝ่ายหนึ่งจนมุมด้วยเหตุผล สุดท้ายแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนความคิดอยู่ดี แต่เราเกลียดกันมากกว่าเดิม

บางคนบอกว่า ถ้าเราเถียงกันแต่เถียงด้วยเหตุผล ก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอ ซึ่งอันนั้นผมก็เห็นด้วยแต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ในชีวิตจริงคือ คนเราส่วนใหญ่ใช้อารมณ์ทั้งนั้น คือเราใช้อารมณ์เลือกสิ่งที่เราถูกใจและไม่ถูกใจก่อน จากนั้นเราค่อยคิดหาเหตุผลมาสนับสนุนความถูกใจไม่ถูกใจของเรา เพื่อหลอกตัวเองว่าเรามีเหตุผล เหตุผลเหล่านั้นมักเป็นเหตุผลที่เราเลือกมาแต่อันที่สนับสนุนความถูกใจของเราเท่านั้น เหตุผลไหนที่ขัดแย้ง เราแกล้งละเลยโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น การเถียงกันจึงมักไม่ค่อยได้ประโยชน์จริงอย่างที่คิด ถ้าหากผมเจอคนที่ยังเปิดใจและพร้อมจะรับฟังเหตุผลของอีกฝ่ายหนึ่งจริงๆ ผมก็จะเสียเวลาอธิบายให้พวกเขาฟังนะ เพียงแต่ว่าในความจริง คนแบบนั้นมีอยู่น้อยมากๆ

ถ้าเราลองเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ต่อไปนี้ถ้าคนอื่นมีความคิดเห็นต่างจากเรา  นั่นเป็นสิทธิของเขา เป็นเสรีภาพของเขา เราจะไม่พยายามเปลี่ยนเขา และเราก็ไม่มีสิทธิอะไรที่จะไปเปลี่ยนความคิดของเขาด้วย ความคิดเห็นก็เป็นเพียงแค่ความคิดเห็น ไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ แบบนี้ ชีวิตของเราของเราจะง่ายขึ้นมาก ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเปลี่ยนคนอื่น เอาเวลาและพลังงานไปทำอย่างอื่นเพื่อที่พัฒนาตัวเอง และทำสิ่งดีๆ ให้กันและกันดีกว่า

(ที่เขียนซะหล่อขนาดนี้ ใช่ว่าต้วเองจะทำได้แล้วนะ แต่ก็พยายามอยู่)

 

ถ้าให้แนะนำคนอื่นแค่เรื่องเดียว ผมจะแนะนำเรื่องอะไร

แปลกแต่จริงนะที่เดี๋ยวนี้ผมไม่อยากสอนหรือแนะนำอะไรใครเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต

ไม่ใช่ว่าหวงความรู้หรืออะไรเลย แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าจริงๆ แล้ว ตัวเราไม่ได้รู้อะไรขนาดนั้น ที่จะริอ่านไปสอนคนอื่น เดี๋ยวนี้ผมรู้สึกด้วยซ้ำว่า เมื่อก่อนที่เวลาที่ผมชอบสอนคนอื่น บ่อยครั้งเป็นเพราะเราแค่อยากเอาความเชื่อของเราไป force คนอื่นให้เชื่อเหมือนกันเรา แทนที่เราจะสอนเพราะว่าเราอยากให้อะไรแก่พวกเขาจริงๆ

ตอนอายุ 20+ ผมไฟแรงมาก รู้สึกว่าตัวเรานี่มีความรู้เยอะ ก็เลยรู้สึกอยากเผยแพร่ความรู้ของเราเป็นวิทยาทานให้คนอื่น ทำให้เป็นคนชอบสอน แต่พอตอนอายุ 40+ กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย ทำให้แรงจูงใจที่อยากจะสอนคนอื่นหายไปหมด

อีกอย่างหนึ่งคือยิ่งนับวันยิ่งรู้สึกว่า คนเราแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย เราไม่สามารถเอาวิธีที่ประสบความสำเร็จสำหรับตัวเราไปบอกคนอื่นให้ทำตามแล้วจะประสบความสำเร็จแบบเดียวกันได้ จุดมุ่งหมายหรือคุณค่าในชีวิตของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนมองความสำเร็จเป็นเรื่องใหญ่ บางคนมองความรักเป็นเรื่องใหญ่ ฯลฯ ทุกคนเกิดมาเพื่อจะเป็นใครสักคนที่ไม่เหมือนกับใครๆ เลยในโลกนี้ จึงไม่ได้มีสูตรสำเร็จที่ใช้ได้เสมอกับทุกคน

อาจจะจริงที่ว่าอาจจะมีหนทางบางหนทางที่ใช้ได้กับคนจำนวนมากๆ อยู่บ้าง แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนแปลกเกินกว่าที่จะเอาวิธีแปลกๆ ของผมมาใช้กับคนส่วนใหญ่ได้ ถ้าใครเป็นคนแบบนั้น ก็ให้เขาเป็นคนสอนคนอื่นๆ จะดีกว่าให้ผมสอน

ทุกวันนี้ถ้าจะให้สอนใครสักคนเรื่องอะไรก็ได้สักเรื่องหนึ่ง เรื่องเดียวที่อยากจะบอกก็คือ ให้ทุกคนออกไปลองลงมือทำให้มากที่สุด อย่าเกี่ยงโอกาสส่วนใหญ่ที่เข้ามาในชีวิต การได้ลองทำเท่านั้นที่จะทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เหมาะกับตนเองจริงๆ คืออะไร อย่ามัวแต่นั่งคิด เราไม่มีทางค้นพบสิ่งที่เหมาะกับตัวเองจริงๆ ได้ด้วยการนั่งคิด อย่ามัวแต่รอถามกูรู เพราะไม่มีกูรูคนไหนที่จะรู้จักตัวเราเองได้ดีกว่าตัวเรา ถ้าผมกลับไปบอกตัวเองตอนอายุ 20 ได้ก็จะแนะนำแบบนี้เหมือนกัน มีคนน้อยมากๆ ที่รู้ตัวเองตั้งแต่เกิดว่าอยากทำอะไร ทุกคนจะค่อยๆ ค้นพบตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจจากการที่ได้ลองทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางของชีวิตมากกว่า เพราะฉะนั้นยิ่งใครลองทำมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสค้นพบตัวเองได้มากและเร็วขึ้นเท่านั้น